วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สรุปบทเรียนคาบที่3
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สรุปบทเรียนคาบที่2
ขั้นตอนของการวางแผนงานสอบบัญชี
ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. การพิจารณารับงานสอบบัญชี
2. การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ
3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเบื้องต้น
4. การกำหนดระดับความมีสาระสำคัญ
5. การประเมินความเสี่ยงในการสอบบัญชีที่ยอมรับได้และความเสี่ยงสืบเนื่อง
6. การทำความเข้าใจในระบบการควบคุมภายใน และการประเมินความเสี่ยงจากการควบคุม
7. การพัฒนาแผนการสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชี
การพิจารณารับงานสอบบัญชี
การพิจารณารับงานสอบบัญชีมีความสำคัญต่อผู้สอบบัญชีมาก เนื่องจากการรับงานตรวจสอบกิจการที่มีความเสี่ยงสูง หรือกิจการที่ผู้บริหารมีเจตนาไม่สุจริต ย่อมทำให้ผู้สอบบัญชีมีความยากลำบากในการตรวจสอบ และอาจตรวจไม่พบข้อผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้สอบบัญชีถูกฟ้องร้องจากผู้ใช้งบการเงินหรืออาจทำให้หน่วยงานกำกับดูแลมีความสงสัยในการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีได้
การรับงานสอบบัญชี จำแนกได้ 2 กรณี ดังนี้
1. การรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายใหม่
ผู้สอบบัญชีจะรวบรวมข้อมูลและประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นก่อนที่จะรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายใหม่ ผลจากการรวบรวมข้อมูลและประเมินความเสี่ยงดังกล่าว อาจทำให้ผู้สอบบัญชีปฏิเสธที่จะรับงานตรวจสอบลูกค้ารายนั้นเนื่องจากการรับงานสอบบัญชีที่มีความเสี่ยงสูงมีผลทำให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามมาตรฐานการสอบบัญชี หรือปฏิบัติงานผิดมรรยาท หรือจรรยาบรรณของผู้สอบบัญชีซึ่งมีผลทำให้ผู้สอบบัญชีเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้
ข้อมูลเบื้องต้นที่่ผู้สอบบัญชีควรรวบรวมเพื่อประเมินความเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่
- ประเภทธุรกิจของลูกค้า
เช่น ผลิตอัญมณี (ความเสี่ยงสูงในเรื่องของราคา และความปลอดภัย) , ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ความเสี่ยงสูงในเรื่องของความล้าสมัย)
- ผู้เป็นเจ้าของและผู้บริหารของกิจการที่จะตรวจสอบ
เช่น กล้าได้กล้าเสีย (ความเสี่ยงสูง) , ไม่กล้าได้กล้าเสีย (ความเสี่ยงต่ำ)
- ฐานะการเงินของลูกค้า ฐานะทางสังคม
- ลักษณะของรายงานที่ต้องนำส่งหน่วยงานกำกับดูแล
- กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของลูกค้า
ในกรณีที่งบการเงินปีก่อนของลูกค้าตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีอื่นผู้สอบบัญชีคนใหม่อาจต้องการทราบว่ามีเหตุผลทางจรรยาบรรณ หรือมรรยาทของวิชาชีพประการใดหรือไม่ที่ตนควรนำมาพิจารณาในการรับงานสอบบัญชี ในทางปฏิบัติผู้สอบบัญชีที่กำลังพิจารณางานใหม่ต้องมีหนังสือไปยังผู้สอบบัญชีเดิมโดยมีข้อความแจ้งให้ทราบว่าตนได้รับการทาบทามให้เป็นผู้สอบบัญชีของกิจการที่ผู้สอบบัญเดิมเคยตรวจสอบ และสอบถามผู้สอบบัญชีเดิมว่า มีเหตุผลทางจรรยาบรรณ หรือมรรยาทของวิชาชีพใดหรือไม่ที่ควรนำมาพิจารณาในการรับลูกค้ารายนี้ ถ้าผู้สอบบัญชีเดิมตอบกลับมาว่ามีเหตุผลทางจรรยาบรรณหรือมรรยาทของ
วิชาชีพผู้สอบบัญชีที่กำลังพิจารณางานใหม่ต้องชี้แจงให้กิจการผู้ทาบทามทราบถึงความจำเป็นที่จะต้องให้ผู้สอบบัญชีเดิมแจ้งให้ตนทราบถึง รายละเอียดของเหตุผลทางจรรยาบรรณ หรือมรรยาทของวิชาชีพ และข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการใช้หลักการบัญชี และวิธีการตรวจสอบโดยมีหนังสือไปยังผู้สอบบัญชีเดิม ในกรณีที่ถูกปฏิเสธจากกิจการที่ทาบทามหรือข้อมูลที่จะขอทราบจากผู้สอบบัญชีเดิมถูกจำกัด ผู้สอบบัญชีที่กำลัง พิจารณางานใหม่ต้องขอทราบเหตุผลจากกิจการนั้น แล้วนำมาพิจารณาว่าควรรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายนี้หรือไม่
2. การรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายเดิม (Continuing Client)
ในกรณีของการรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายเดิม ผู้สอบบัยชียังคงต้องพิจารณาและประเมินความเสี่ยงว่าตนจะรับงานสอบบัญชีสำหรับลูกค้ารายเดิมนี้ต่อไปหรือไม่ ผู้สอบบัญชีอาจปฏิเสธลูกค้ารายเดิมด้วยเหตุผลต่างๆกัน เช่น
- ลูกค้าไม่ได้จ่ายค่าสอบบัญชี
- การมีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการถูกจำกัดขอบเขตในการตรวจสอบ
- กิจการมีการเปลี่ยนแปลงดครงสร้างผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร ซึ่งผู้สอบบัญชีประเมินแล้วว่าผู้บริหารชุดใหม่มีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต
ในการตอบรับงานสอบบัญชีผู้สอบบัญชีควรต้องส่งหนังสือตอบรับงานสอบบัญชี
(Engagement Letter) 2 ฉบับ ก่อนที่จะเริ่มงานสอบบัญชี เพื่อยืนยันและให้กิจการยอมรับ
แผน ในแง่ของ Audit
ลักษณะ
Interim Audit(การตรวจสอบระหว่างปี)
ตรวจได้แค่ระบบควบคุมภายใน
(Test Of Control)
ระยะเวลา
---------------------- > 31 ธ.ค.
ขอบเขต การสุ่มตัวอย่าง (ขนาดตัวอย่าง) สุ่มตัวอย่างขนาดไหนถึงจะพอเชื่อมั่นได้
(เล็ก)
Year End Audit(การตรวจสอบสิ้นปี)
ตรวจสอบงบการเงิน(Substantive Test)
ระยะเวลา
------------------>วันที่ยื่นงบการเงิน
ขอบเขต การสุ่มตัวอย่าง (ขนาดตัวอย่าง) สุ่มตัวอย่างขนาดไหนถึงจะพอเชื่อมั่นได้
(ใหญ่)
ระบบควบคุมภายใน (Test Of Control)
- ป้องกันการทุจริต และข้อผิดพลาด
- ถ้าบริษัทควบคุมดี ความเสี่ยงก็จะต่ำ
ตรวจสอบงบการเงิน (Substantive Test) เพื่อดูว่าบริษัทได้ทำตามระบบการควบคุม
ภายในหรือไม่ ถ้าบริษัทควบคุมดี ความเสี่ยงก็จะต่ำ
ผู้สอบบัญชีควรไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบการ (Plant Tour)
+ พกความสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ
+ record เช่น ถ้ามีคนเข้าออกประตูโรงงานได้สะดวก ซึ่่งจะเหตุที่ขัดต่อความเสี่ยง
ในเรื่องความปลอดภัย
+ สัมภาษณ์ผู้บริหาร เช่น สัมภาษณ์เกี่ยวกับ Project อีก2 หรือ 3 ปี เป็นยังไง
+ สัมภาษณ์คนงาน เช่น ตอกบัตรเข้าทำงานแทนกันได้ไหม
+ ขอดูสมุดบัญชี ---> วิเคาระห์แนวโน้มทิศทางของบริษัทว่าเป็นยังไง วิเคาระห์
เปรียบเทียบเบื้องต้น)
ความมีสาระสำคัญ (Materiality)
ความมีสาระสำคัญ (Materiality) หมายถึง รายการหรือเหตุการณ์ทางบัญชี ซึ่่งหากผู้ใช้งบการเงินไม่ได้รับทราบแล้ว อาจตัดสินใจผิดไปจากกรณีที่ได้รับทราบ ความมีสาระสำคัญขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของรายการทางบัญชีที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้ข้อมูล การพิจารณาว่าข้อมูลมีสาระสะคัญหรือไม่นั้น ให้พิจารณาจากผลกระทบที่มีต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจเป็นเกณฑ์
สาระสำคัญ (Materiality)
---> ถ้าเรารู้เราจะตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง
---> สาระสำคัญของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
---> ควรกำหนดสาระสำคัญไว้แต่เนิ่นๆ
ระดับความมีสาระสำคัญ
1. ดูขนาดของกิจการ
2. ถึงแม้ว่าจำนวนเงินจะเท่ากันแต่ผู้สอบบัญชีแต่ละคนจะคิดไม่เหมือนกัน
(ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ Auditor แต่ละคน)
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สรุปบทเรียนคาบที่1
คือ การรวบรวมหลักฐานและการประเมินฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน งบกระแสเงินสดว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือไม่
- วัตถุประสงค์ของการสอบบัญชี...
เพื่อให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินว่า งบการเงินนั้นได้แสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน งบกระแสเงินสด ของกิจการโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือไม่
- ผู้เกี่ยวข้องที่ใช้ระบบบัญชีมี 3 ฝ่าย...
(1) Auditor ผู้ตรวจสอบบัญชี - ต้องให้ความเชื่อมั่น
(2) Management ผู้บริหาร ผู้ทำบัญชี – จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่รองรับทั่วไปสิ่งที่ผู้บริหารให้การรองรับไว้
1.) เกิดขึ้นจริง / มีอยู่จริง
2.) ครบถ้วน3.) สิทธิ / ภาระผูกพัน
4.) การตีราคา / การวัดมูลค่า
5.) การแสดงรายการ / การเปิดเผยข้อมูล
(3) User ผู้ใช้ – จะได้รับรู้ฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน งบกระแสเงินสด จากรายงานประจำปีหรือจากงบการเงินที่นำเสนอ
- หลักการพื้นฐานของการตรวจสอบบัญชี...
(1) จรรยาบรรณหรือมารยาทของผู้สอบบัญชีผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติงานตรวจสอบงบการเงินตามจรรยาบรรณ หรือมารยาทของผู้สอบบัญชี (Code of Ethics for Professional Public Accountants) ที่กำหนดโดยสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพ หลักการพื้นฐานของจรรยาบรรณของผู้สอบบัญชีกำหนดโดยสภาวิชาชีพบัญชี
(2) มาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไปมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไป (Generally Accepted Auditing Standards : GAAS) หมายถึง แนวทางปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชี มาตรฐานการสอบบัญชีใช้เป็นเครื่องวัดคุณภาพผลงานของผู้สอบบัญชี
(3) วิจารณญาณในการสังเกตและสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพผู้สอบบัญชีต้องวางแผนและปฏิบัติงานตรวจสอบงบการเงินโดยใช้วิจารณญาณในการสังเกตและสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ (Professional Skepticism) ต่อข้อมูลของกิจการ โดยคำนึงถึงสถานการณ์แวดล้อมที่อาจมีอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ข้อมูลในงบการเงินขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ
- ข้อจำกัดของการตรวจสอบบัญชี...
(1) การใช้วิธีการทดสอบรายการในเรื่องของการตรวจสอบไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่างบการเงินจะต้องมีความถูกต้องสมบูรณ์โดยปราศจากข้อผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้สอบบัญชีทดสอบรายการบัญชีแต่เพียงบางส่วนโดยการเลือกตัวอย่างขึ้นมาตรวจสอบ
(2) การใช้ดุลพินิจอย่างมีเหตุผลในการประเมินความเชื่อถือได้ของหลักฐานการสอบบัญชีหลักฐานการสอบบัญชีที่ได้มาไม่อาจให้ข้อสรุปได้ในตัวเอง แต่ผู้สอบบัญชีจะต้องใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาว่าหลักฐานการสอบบัญชีนั้นมีความเหมาะสมเพียงพอ ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปได้หรือไม่ เพียงใด
(3) ข้อจำกัดของระบบบัญชีและระบบการควบคุมภายในระบบบัญชีย่อมมีความบกพร่องเสมอ และระบบการควบคุมภายในของกิจการมีข้อจำกัดสืบเนื่องซึ่งไม่อาจป้องกัน ค้นหา และแก้ไขข้อผิดพลาด หรือรายการทุจริตได้ในทุกกรณี